วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความรัก เป็นเรื่องง่าย ๆ(เครื่องจักรสีแดง3)


เช้าของวันที่อากาศร้อนจัดเวียนกลับมาอีกครั้ง
ฉันเงยหน้ามองนาฬิกาฝาผนัง 
เป็นรูปเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว 
ใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมไปด้วยความสุขในวันสำคัญของทั้งคู่ 
ฝ่ายชายหน้าตาคมคาย ไม่ถึงกับหล่อเหมือนพระเอกละคร 
แต่เขาก็ดูดี แววตาและริมฝีปาก 
ที่แย้มยิ้มบาง ๆ แสดงถึงความขี้อายในตัวของเขา 


ในขณะที่ฉันกำลังเฝ้ามองรูปภาพอย่างเพลิดเพลินอยู่ 
ฝ่ามือหนาและอุ่นของใคร คนหนึ่งก็ทาบทับลงบนไหล่ของฉัน 
เจ้าของฝ่ามือชะโงกหน้ามาดูสิ่งที่ฉันกำลังมองอยู่ 
พลางกระซิบถามเบา ๆ




" คิดถึงวันแต่งงานเหรอจ๊ะ ที่รัก คุณว่าผมหล่อรึเปล่า ในภาพนี้น่ะ" 
ฉันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับเขา พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานให้ 
เพราะคิ้วสีเข้มที่ขมวดอย่าง สงสัยระคนไม่แน่ใจ
ในความคิดของตัวต่อภาพถ่าย 



" หล่อสิคะ แหม ถ่ายมาหลายเดือนแล้วนะ 
ทำไมเพิ่งจะมาเป็นห่วงความหล่อของตัวเอง" 

ฉันหัวเราะให้กับแววตาขี้สงสัยนั่น 
ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้น จุบแก้มเขาเบา ๆ 

" แต่จะบอกให้นะ เหมือนที่ปิ่นบอกคุณมาตลอด 
ปิ่นไม่ได้รักคุณเพราะหน้าตานะคะ แต่รักเพราะ..." 

ฉันจิ้มนิ้วชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา ได้ผล 
เขาคว้าข้อมือของฉันไว้ทันที 

" ฮ่ะ ..ฮ่ะ..ฮ่ะ..ผมจั๊กะจี้น่ะ จ้ะ ๆ ผมรู้ว่าคุณรักผมเพราะอะไร
และผมก็รักคุณเพราะอะไร " 


" ค่ะ ปิ่นรู้ " เขาพยักหน้าเบา ๆ พลางรั้งตัวฉันเข้าไว้ในอ้อมแขนของเขา 
ฉันจะทำอะไรได้ นอกจากหลับตาและรับรู้ถึงความสุข
ที่ท่วมท้นอยู่ในเวลานี้น่ะสิ




...... 



ถูกต้องค่ะ ฉันแต่งงานแล้ว น่าแปลกใจเนอะ 
ผู้หญิงนิสัยเสียอย่างฉัน
ยังมีคนเห็นคุณค่า และเอาใจใส่ได้มากขนาดนี้ 
ฉันไม่เคยมองว่าตัวเองมีอะไรดีเลยสักนิด
แต่เพราะอะไร เมื่อฉันเจอกับเขา คนพิเศษและสำคัญของฉัน 
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังมือ






เรื่องเริ่มขึ้น เมื่อปีที่แล้ว ช่วง ฤดูร้อน 
ฉันถูกย้ายงานไปภาคเหนือ ทั้งที่สภาพจิตใจ 
ก็ไม่อยากจะไปนัก แต่ก็ไม่สามารถต่อต้านหัวหน้าได้ 
ฉันเป็นลูกจ้างเขานี่คะ 



ในระยะที่ฉันกำลังเตร็ดเตร่หาที่พักใหม่ 
เพราะที่เดิมที่คนที่ทำงานมีน้ำใจช่วยหาให้ 
มันออกจะคับแคบและทรุดโทรม เพราะอากาศร้อนจัด 
ฉันจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านกาแฟข้างทาง 
ที่ดูบรรยากาศน่าจะเย็นสบายดี เพราะต้นไม้หน้าร้านที่ครึ้มตา 





และที่นี่นี่เอง ที่ฉันได้พบกับ เขาคนพิเศษของฉันในเวลานี้ 
เขาเป็นเจ้าของร้านค่ะ 


ฉันยอมรับว่า การสนทนากันครั้งแรก ๆ ของเรา
เชิญชวนกันและกันให้สนใจกันนัก 
เพราะฉันหงุดหงิดกับการหาที่พักซึ่งยากเย็นเสียเหลือเกิน
ส่วนเขาก็ง่วนอยู่กับบัญชีของร้าน 



ฉันนึกถึงหน้าเขาตอนนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ 
ปากกาสีขาวเหน็บอยู่ข้างใบหู ดูตลกดี 
หน้าตาก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่เกือบจะตลอดเวลา
แต่เมื่อเขาต้องออกมาบริการลูกค้าเอง กลับเปลี่ยน 
หน้าบึ้ง ๆ เป็นยิ้มอย่างยินดีได้อย่างน่าประหลาดใจ




การแสดงออกทางอารมณ์ของเขา 
ชวนให้ฉันนึกถึงใครคนหนึ่ง ..ที่เคยคุยกันทาง 
msn เพียงครั้งเดียว ก็แค่นึกถึงเท่านั้นล่ะ
แต่ไม่ใช่เพราะเหตุนี้แน่ ที่ทำให้ฉันกลายเป็นลูกค้าประจำ 
ของร้าน เพราะรสชาติของกาแฟต่างหาก




เอาล่ะ..เอาเป็นว่า ฉันยอมรับว่า อัทธยาศัยดีของเขา 
ก็มีส่วน แต่ก็นิดหน่อยเท่านั้นนะ 




ฉันกับเขาสนิทกันค่อนข้างเร็วค่ะ อาจเพราะห่างบ้านด้วยกันทั้งคู่
ตัวเขาแจงว่า เป็นคน ภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี 
แต่เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ
แต่ก็เปลี่ยนใจย้ายออกมา ทำธุรกิจส่วนตัว และปักหลักทางนี้แทน





เมื่อตัดสินใจคบหากัน ในช่วงต้นฤดูหนาว 
ฉันพาเขาไปเยี่ยมที่บ้าน จังหวัดตรัง 
พ่อแม่ฉันชอบเขามาก
และเขาเองก็เข้ากันได้กับครอบครัวฉันเป็นอย่างดี 




ปีใหม่มาถึง วันหยุดยาว ๆ เขาเลยชวนฉันไปเยี่ยมบ้านของเขาที่เมืองกาญ
บ้านหลังน้อย อยู่ติดแม่น้ำแคว บรรยากาศและทัศนียภาพที่น่าประทับใจ
คงไม่สามารถสู้ความอบอุ่นที่ครอบครัวของเขา 
มีให้กับฉันได้หรอก แม่กับพ่อของเขา ให้ความเอ็นดูกับฉันมาก 



ใช่ว่า ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะราบรื่นตลอด 
ก็มีบ้างกับช่วงติดขัดและลำบากใจ 
แต่เหมือนทุกครั้งที่ฉันร้อน เขาจะเย็นเสมอ 
และเมื่อเขาร้อน อย่างน้อย ฉันก็ไม่ร้อนเท่าก็แล้วกัน 



คำพูดและคำตักเตือนที่เขาคอยให้กับฉันเสมอ 
คือเรื่องการควบคุมอารมณ์และการเห็นคุณค่า 
ในตัวเอง เขาย้ำเสมอว่า 
ฉันมีค่ากับเขามากกว่าที่ตัวฉันเองจะประเมินได้ 


เราตกลงแต่งงานกัน ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ของปีถัดมา 
นับว่าเป็นระยะเวลาสั้นนะ 
คบกันไม่ถึงปี แต่ก็แต่งงานกันเสียแล้ว มันยิ่งน่าขำ 
เมื่อเราฉลองครบรอบการเจอกันครั้งแรก 
ในบ้านหลังน้อยๆ ของเราหลังนี้ 


............. 


เอาล่ะ..ฉันเล่ามาเสียนาน เกือบลืมที่จะบอกว่า 
วันนี้บ้านของเราเพิ่งต่ออินเตอร์เนตความเร็วสูง 
ได้ หลังจากที่ต้องวุ่นวายกับเนตชั่วโมงมานาน ฉันบอกได้เลยว่า 
เป็นปีแล้วกับการที่ฉันไม่ได้แชทหรือคุย 
กับใครก็ตาม ผ่านสื่ออินเตอร์เนต 


ฉันหันมองไปยังระเบียง มุมโปรดของเขา ส่วนฉันก็ 
ที่นี่แหล่ะ ห้องหนังสือ อีกนัยคือ 
ห้องนอนเล็ก เขาเผื่อสำหรับไว้สำหรับลูกของเราน่ะค่ะ 
คงเพราะห้องนี้มีหน้าต่างสองทิศทาง ลมเย็นสบาย 
แต่ก็ไม่โปร่งตาจนเกินไป เพราะทั้งสองด้านเป็นต้นไม้และทุ่งนา 


ฉันเห็นเขาแล้ว เขากำลังง่วนกับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่ 
คงกำลังวุ่นกับการเดินทาง 
ในโลกไซเบอร์อยู่กระมัง ฉันอมยิ้มอีกครั้ง 
เมื่อเห็นปากกาด้ามเดิม เหน็บอยู่ข้างใบหูของเขา 


แต่ว่า ฉันก็ต้องละสายตา เมื่อเสียงสัญญาณของ msn ดังขึ้น
ฉันเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ 
ช่างน่าแปลกใจจริง เมื่อเห็นใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาทัก 
หน้าต่างบานเล็กเด้งขึ้นมาพร้อมกับข้อความและ รูปภาพยิ้ม 


เครื่องจักรสีแดง : สวัสดีครับ :) 
สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : สวัสดีค่ะ 


แปลกดี ครั้งนี้ฉันพูดว่า " สวัสดีค่ะ " ทั้งที่ปกติไม่เคยพิมพ์แบบนี้ 


เครื่องจักรสีแดง : สบายดีนะครับ ไม่เจอกันนานเลย 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : ค่ะ เป็นปีแล้วมั๊ง ฉันไม่ได้ออนเอ็มเลยน่ะค่ะ 

เครื่องจักรสีแดง : เหรอครับ ผมก็เหมือนกัน งานค่อนข้างยุ่ง 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : อืม..ค่ะ ก็คงเหมือนๆกัน 

เครื่องจักรสีแดง : แล้วทำแต่งานหรือครับ ไม่ทำอย่างอื่นเหรอ 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : แบบไหนคะ ทำอย่างอื่น? 

เครื่องจักรสีแดง : ก็แบบ คบใคร มีครอบครัว ทำนองนี้ 
เอ่อ..ผมถามละลาบละล้วงหรือเปล่าครับ 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : ไม่หรอกค่ะ ฉันมีคนพิเศษแล้วล่ะค่ะ 
แล้วคุณล่ะคะ มีแล้วหรือยัง 

เครื่องจักรสีแดง : ครับ ผมแต่งงานแล้ว :) ภรรยาผมน่ารักมากครับ 

อ่อ..ที่แท้ก็อยากประกาศว่า เมียสวย ..ฉันแอบนึกในใจ 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : ดีใจด้วยค่ะ ยินดีด้วย 

เครื่องจักรสีแดง : ขอบคุณครับ อิอิ ผมว่าคุณแปลก ๆไปนะ 
หลังจากที่ไม่ได้คุยกันครั้งนั้นแล้ว 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : แปลกแบบไหนเหรอคะ 

ดูสิ ยังอุตส่าห์มีกะใจมานั่งจับผิดฉันอีก คนพิลึกเสียจริง 

เครื่องจักรสีแดง : ก็คุยตอบผมเร็วกว่าครั้งนั้นไงครับ 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : งั้นหรือคะ ฉันคงจะว่างน่ะ
ช่วงนี้ ไม่รู้จะทำอะไรดี วันหยุดที่ยังไม่มีโปรแกรม อะไรเป็นพิเศษ 

เครื่องจักรสีแดง : ถ้างั้น ผมเล่าเรื่องสนุก ๆให้ฟังดีไม๊ครับ 



ฉันหันมองเขาอีกครั้ง กำลังยิ้มหน้าบานกับจออยู่นั่น
คงจะเจออะไรสนุก ๆ เข้าให้แล้วสิ 
ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะฟังนายคนนี้เล่าล่ะ
เผื่อมีอะไรที่ทำให้ยิ้มได้กว้างกว่า 



สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : ได้ค่ะ เล่ามาสิ 

เครื่องจักรสีแดง : เป็นเรื่องตลกน่ะครับ คือ แฟนผมน่ะ เค้ายังไม่รู้เลย 
ว่าผมเป็นครูสอนดนตรีมาก่อน 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : อ้าว ทำไมล่ะคะ มีความลับกับภรรยาไม่ดีน๊า 

เครื่องจักรสีแดง : 555 ไม่เป็นไรหรอกครับ คือ เธอเคยบ่นให้ผมฟังว่า
เจอพวกนักดนตรีเก็บกดมาคุยด้วย 
ก็ไม่ได้บอกนะ ว่ามาจีบหรือเปล่า แต่ เหมือนเธอมีอะไรติง ๆ น่ะ 
ผมก็ไม่อยากให้เธอสร้างกำแพงกับผมซะ 
ก่อน เลยไม่ได้บอก ตอนนี้ก็เลยตามเลย ไม่ได้บอกเลย 


สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : เหรอคะ ก็เป็นความลับที่ไม่อันตรายนะคะ 
เครื่องจักรสีแดง : ครับ ผมก็คิดแบบนั้น 



ฉันหันหน้าไปมองที่ระเบียงอีกครั้ง คราวนี้ 
สายตาคู่นั้นส่งรอยยิ้มกลับมา ยิ้มที่ฉันไม่ 
อยากแบ่งให้กับใคร..ยิ้มที่ฉันอยากจะเก็บเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว..รู้นะ
ว่ามันอาจจะยาก และเห็นแก่ตัว 
แต่ฉันก็ไม่อยากแบ่งนี่นา.. แต่แล้ว นายเครื่องจักรสีแดงก็พิมพ์กลับมาอีก 



เครื่องจักรสีแดง : แต่นึกไปนึกมา ก็อยากบอกเหมือนกันครับ 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : ค่ะ ว่าแต่ ตอนนี้คุณทำงานอะไรหรือคะ 
ไม่ได้สอนดนตรีแล้ว 

เครื่องจักรสีแดง : ผมเปิดร้านกาแฟครับ 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : ค่ะ 

เครื่องจักรสีแดง : ถ้าไง ผมขอตัวก่อนนะครับ ผมมีธุระ 

สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น : ค่ะ สวัสดีค่ะ




ฉันเหลือบมองข้อความก่อนสุดท้ายของเขา 
แล้วต้องให้หันมองไปยังเขาคนพิเศษของฉัน 
เขายิ้มก่อนจะปิดโน๊ตบุ๊ค แล้วลุกเดินมาหาฉัน




" ที่รัก ผมมีอะไรจะบอก " 
" ปิ่นรู้แล้วค่ะ " ฉันละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ 
และเดินเข้าไปหาเขาเช่นกัน
คิ้วหนาของเขา ขมวดอย่างฉงนสนเท่ห์อีกครั้ง 
" รู้อะไรจ๊ะ ผมยังไม่ได้บอกเลย "




แทนคำตอบ ฉันโอบรอบคอเขา และกระซิบถ้อยคำสั้น ๆ
ที่เราทั้งคู่จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตเลย 



ซึ่ง ฉันคิดว่า คุณก็คงรู้ดีว่ามันคือคำว่าอะไร ....

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น