วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

ระหว่างเรา






 


ถ้าคุณเห็นภาพหญิงและชาย ยืนหันหน้าเข้าหากัน เว้นระยะจากกันเพียงไม่มาก 
คุณจะคิดว่า ทั้งสอง กำลังเดินเข้ามาหากัน หรือกำลังอำลา..



คำตอบของฉัน มาจากเรื่องราวเมื่อเกือบปีที่ผ่านมา


"เขา" เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานเดียวกัน เป็นคนใจดีที่น่าจะมีแฟนได้แล้ว
แต่เพราะอะไรกันล่ะ.. ที่ทำให้เขามักจะได้รับเพียงตำแหน่ง
"เพื่อนใจ" ให้ใครหลายคนที่เดินผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา


ฉันสนิทกับเขา ก็เพราะฉันเพิ่งจะย้ายมาใหม่ 
โต๊ะทำงานเราติดกัน เพียงแค่ยืนชะโงกหน้าก็มองเห็นกันได้แล้ว
เขาเองเป็นฝ่ายเปิดความสัมพันธ์ ด้วยการรอยยิ้มและคำทักทาย


ทุกวัน ที่ฉันมักได้ยินเขาร้องเพลงรักแนวอกหัก
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลก .. เพราะเขาเองก็ไม่เคยคบกับใครให้เห็นเป็นตัวเป็นตน
พูดให้ถูกก็คือ ไม่มีแฟนให้เห็น แล้วไปอกหักเพราะรักใครกัน


...


ค่ำของวันที่ฉันติดทำโอที ..อืม ไม่หรอก ฉันต้องแก้ไขงานตัวเองต่างหาก
เพราะทำพลาดก็เลยต้องอยู่แก้ไขยาวจนล่วงเลยเวลาเลิกงาน


งานเสร็จแล้ว ฉันมองนาฬิกาที่ข้อมือก็เพิ่งจะรู้ว่า เกือบสองทุ่ม
ข้างนอกฝนตก เสียงฝนดังแทรกเข้ามาภายในตึกอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งเมื่อประตูกระจกด้านหน้าเปิดออก ..ฉันก็พบว่า ตัวเองต้องวิ่งเปียกฝนกลับบ้านซะแล้ว


แต่ในเวลานั้นเอง เขาก็โผล่มาจากที่ไหนไม่รู้
ในมือมีร่มคันนึง .. 
"เพิ่งเสร็จเหรอ ไปกลับบ้าน เดี๋ยวพี่ไปส่ง" เขาเอ่ยชวน
ฉันซึ่งกำลังคิดว่า จะปฏิเสธดีไหม .. ก็เขาเคยไปบ้านฉันซะที่ไหนล่ะ
แค่รู้เพราะฉันบอก .. แล้วมันจะดีเหรอ ฉันก็กลับบ้านเองได้นะ แค่ต้องเปียกฝน
"ยืนนิ่งอยู่นั่นล่ะ ไปเร็วสิ .. พี่กลับมาเอาของ แล้วนึกได้ว่าเรายังทำงานอยู่
ก็เลยรออยู่เนี่ย กะว่าจะไปส่ง เป็นสาวเป็นแส้กลับบ้านคนเดียวค่ำมืดแบบนี้ไม่ดีหรอกนะ"
"อ่า..ค่ะ"  ฉันได้แต่รับคำและเดินเข้าไปชิดกับเขา..ใต้ร่มคันเดียวกัน


รถของเขาเป็นโฟล์คเต่าสีดำ แลดูไม่ใหม่เท่าไหร่
แต่ก็คงพอช่วยกันฝนให้เราได้
เมื่อเราเข้าไปนั่งในรถ เขาก็ออกตัวกับสภาพรถของชายหนุ่มที่ไม่มีระบบระเบียบอะไรนัก
" รกหน่อยนะ งี้แหละ รถคนโสด ฮ่าๆๆ" เสียงเขาหัวเราะทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดี
ทำให้ฉันหัวเราะออกมาด้วย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแซวกลับ 
" แหม แบบนี้ต้องหาแฟนมาช่วยจัดแล้วล่ะมั๊งคะ" ฉันเกือบจะยิ้มได้เต็มอารมณ์
ถ้าไม่เพียงแวบหนึ่งของแววตาเขาที่สลดวูบ ก่อนจะหัวเราะแก้เก้อเสียงดัง
" คงจะยากนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก พักนี้พี่ก็เรื่อย ๆ ..ล่ะ" 
ห้วงอารมณ์ท้ายประโยคทำให้ฉันคลางแคลงใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร


แสงไฟหน้ารถส่องออกไปบนถนนที่เต็มไปด้วยสายฝน
มีเพียงเสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่เคลื่อนตัวไปช้า ๆ...


...


"เลี้ยวขวาข้างหน้าใช่ไหม" เขาเอ่ยถามขึ้นเมื่อใกล้จะถึงบ้านของฉัน
"ค่ะ ตรงเสาไฟฟ้าตรงนั้นล่ะ"


ฝนหยุดแล้ว เมื่อรถจอด เขาก็ชะโงกออกมามอง บ้านฉันอย่างสนใจ
คงเพราะรั้วที่เต็มไปด้วยต้นเล็บมือนางที่เลื้อยเต็ม ทั้งดอกสีชมพูเข้มและอ่อน
แม้จะผ่านสายฝนมาก็ยังคงดูสดชื่นเบิกบานใต้แสงไฟถนน


" ดอกไม้สวยจังเลย " เขาเอ่ยชม
"ค่ะ ปลูกไว้นานแล้วค่ะ ตั้งแต่เจ้าของคนเก่า" 
"อ๋อ..." 
" เอ่อ พี่จะลงไปทานอะไรก่อนไหม นี่ก็ดึกแล้ว พี่ทานข้าวแล้วยังคะ" ..ฉันตกใจกับตัวเองเหมือนกันที่เอ่ยปากอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าทำไมถึงเอ่ยปากชวนเขา แม้เราจะสนิทกันในที่ทำงาน แต่ก็ไม่ควรจะชวนเลย..หรือเปล่านะ
" ยังจ้า แต่จะดีเหรอ ไม่รบกวนหรอกเหรอ " เขาทำท่าเหมือนอยากจะตอบรับนะ..แล้วฉันจะไล่เขากลับได้ยังไง
" มีค่ะ ถ้าพี่กินอาหารแช่แข็งได้"



30 นาทีต่อมา เราก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารทรงกลมในห้องครัวเล็กๆของฉัน
ข้าวต้มร้อน ๆ กับ ไข่เจียว ยำผักกาดดอง และพะแนงเนื้อ
ฉันหัวเราะกับเมนูอาหารต้อนรับแขก แต่เขากลับไม่คิดอะไรมาก
ลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
แต่จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมา .. "รู้ไหม พี่เคยใช้เวลาอย่างนี้กับผู้หญิงที่พี่รักแต่เค้าไม่รักพี่หลายครั้งเลย"
เขาถอนหายใจ .. " แต่ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่เขาจะรู้สึกถึงความใกล้ชิดระหว่างเราบ้างเลย"
เขาหันมามองฉัน ก่อนจะหัวเราะแก้เก้อ " เฮ้อ..แย่จังเลย กำลังอร่อย ดันมาพูดเรื่องไร้สาระซะเนี่ย
พี่ขอโทษนะครับ .. กินเถอะๆ "
" ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ ถ้าไม่สบายใจก็พูดได้นะคะ อาหารคงไม่อร่อย ถ้าคนสองคนทานโต๊ะเดียวกัน
อีกคนมีความสุข อีกคนรู้สึกตรงกันข้าม" ทำไมฉันรู้สึกว่า หัวใจถูกกระตุกด้วยประโยคสั้นๆที่พาดพิงถึง
ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง .. ที่ฉันเองไม่เคยเห็นหน้ากันนะ


และหลังจากนั้น เรื่องราวที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจก็ถูกถ่ายทอดออกมา
แม้ว่า เขาจะพยายามรักษาสีหน้าให้ดูสดชื่น หรือเซ็งน้อยที่สุดยังไง
ก็คงไม่สามารถซ่อนอารมณ์เจ็บปวดจากน้ำเสียงและแววตาได้ทั้งหมด



...


คืนนั้น เขากลับไปแล้ว 
แต่กลับทิ้งความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ให้ฉันต้องคิด


กับคนที่ เป็นได้เพียงแค่เพื่อนใจ .. บทสุดท้ายคงต้องเจ็บปวดเช่นนี้เสมอไปอย่างนั้นเหรอ
เพราะไม่ว่าเราจะให้เวลา ทุ่มเทจิตใจ ห่วงใย อีกฝ่ายมากแค่ไหน 
แต่ในเมื่อเขาไม่ได้รักเราเลย .. มันจะไม่เป็นการทำร้ายจิตใจของเราเองหรอกเหรอ


ก็ถ้าเราไม่รัก ..คงจะทำได้ ในฐานะ "เพื่อน"
แต่ถ้าเรารักไปแล้วล่ะ.. ความรู้สึกปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของ ที่จะครอบครอง
ที่จะต้องการรักจากเขาด้วยเช่นกัน.. มันต้องทำให้เราเจ็บปวดแน่นอน


สำหรับตัวฉัน .. รู้ตัวดีว่า ตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหน
ฉันคงไม่สามารถอดทนอยู่มองเห็นคนที่เรารักไปรักคนอื่น
และวิธีแก้ปัญหาของฉันก็ผุดขึ้นในสมอง 
เมื่อน้ำในตายังไม่เคยไหลเพราะเรื่องอ่อนไหวในชั่วขณะ..ฉันจะไม่ยอมเสียมันและไม่มีวันที่จะเสียมันเป็นแน่


...


เกือบสามเดือนต่อมา ฉันก็ย้ายที่ทำงานใหม่
ฉันไม่ได้พบเขาอีก ฉันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์
และไม่เคยบอกเหตุผลที่แท้จริงกับเขา


คืนข้ามปีมาถึงแล้ว ฤดูหนาวโปรยปรายความหนาวเย็นไปทุกส่วนของเมือง
ลานแสงไฟสีสวยหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ถูกประดับประดาด้วยแสงไฟและผู้คนที่ออกไปชื่นชมแสงไฟ
ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไปเดินชื่นชมแสงไฟที่นั่น ..แค่เพียงอยากเก็บภาพคืนที่มีเพียงครั้งเดียวในหนึ่งปี
แต่ก็พลันได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกชื่อฉัน 
"ริน ..ริน รินนี่ มาได้ยังไงเนี่ย " เขาสาวเท้าเข้ามาหาฉันอย่างรวดเร็ว..
ฉันไม่อยากหันมองหน้าเขาเลย .. 
ไม่อยากให้เขาเห็นหน้าคนที่ใจดำ ไม่ยอมอยู่เป็นเพื่อนคอยให้กำลังใจเขาในเวลาที่เขาอ่อนแอ
"เอ่อ ..สวัสดีค่ะ พี่ก็มาแถวนี้เหมือนกันเหรอคะ" 
ฉันเอ่ยทักอย่างแกน ๆ อยากให้ตัวเองหายวับไปในเวลานี้เหลือเกิน
"จ้ะ  นี่ ไม่เจอกันนานเลย ย้ายไปทำงานที่ไหนอ่ะ แล้วเปลี่ยนเบอร์แล้วเหรอ พี่โทรหาไม่ได้เลย"
"ค่ะ ก็ ..เอ่อ รินเพิ่งนึกได้ พรุ่งนี้รินต้องไปต่างจังหวัดค่ะ รินขอตัวก่อนนะคะ" 
ฉันยกมือไหว้แล้วหันหลังจ้ำเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ได้ยินเสียงเขาตะโกนมาจากด้านหลัง .. " แล้วเจอกันใหม่น๊า"



ฉันกลับถึงบ้านก่อนสี่ทุ่ม นึกก่นด่าตัวเองที่ไปเดินเพ่นพ่านผิดที่ผิดทาง
แทนที่จะได้ร่วมสนุกนับถอยหลังกับใครๆคนอื่นเขา 
กลับต้องมาเจ่าจุกอยู่บ้าน ..นับถอยหลังกับทีวีแทน


แต่เวลานี้หัวใจฉันก็ไม่ได้อยู่ที่เวลาใหม่ๆของปีใหม่ๆที่กำลังจะมาถึงซะแล้ว
มันโบกบินไปมาอยู่ภายในฉัน .. คล้ายดีใจ เสียใจ ทุกข์ สมหวัง และผิดหวัง
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ... ฉันไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย


...


เกือบเย็นของวันแรกของปีใหม่ ฉันยืนบิดไล่ความเมื่อยขบจากตัวเมื่อวางกระเป๋าไว้ในห้องพักได้
สองขาก็ก้าวออกมาชื่นชมความสดชื่นและเย็นเยือกของภาคเหนือ
มองไล่ขึ้นไปจากห้องพักของฉัน เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ ที่เป็นทุ่งดอกหญ้าสีอ่อนหวาน
ฉันขยับเสื้อตัวนอกให้กระชับก่อนจะเดินขึ้นไปบนเนินเขา 
อยากจะทรุดตัวลงนั่งบนทุ่งหญ้า ไม่สิ..อยากจะเอนตัวลงบนทุ่งหญ้าเลยมากกว่า
แต่ก่อนที่ฉันจะเดินขึ้นไปถึงยอดเนิน ฉันก็เห็นใครบางคนเดินมาทางฉัน
เขายิ้มและโบกมือทักทาย 
"แปลกจังเลย เรามาเที่ยวที่เดียวกันเหรอเนี่ย" เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
ตรงกันข้ามกับฉันที่ตกใจกับโลกกลม ๆใบนี้เสียเหลือเกิน


คืนนั้น หลังอาหารค่ำ
เขาก็ชวนฉันไปนั่งดื่มช๊อคโกแลตที่ห้องเขา
เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน ที่เราสองคน ต่างคนต่างมาคนเดียว 
เมื่อจบแค้มไฟที่รีสอร์ทจัดแล้ว เราก็ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรให้ทำมากมายนัก
" ไปน่ะ ไม่ได้เจอกันนาน นี่พี่ขนขนมมเต็มเลยนะ รับรองเราไม่มีอด"
เขาเห็นฉันเป็นเด็ก ๆ หรือยังไงนะ ถึงได้ชวนแบบนั้น
แต่เพราะอะไรกันล่ะ ..ที่ทำให้ฉันเดินตามเขาไปต้อย ๆ..


เราพูดคุยกันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไร้สาระ
เพราะฉันพยายามปกปิดเรื่องงานและที่อยู่ซะเหลือเกิน
แล้วจู่ ๆ เขาก็เอ่ยปากขึ้นมา 
" รู้ป่าว ว่าทำไมพี่มาคนเดียว"
" เพราะพี่ไม่มีเพื่อนมาไง" ฉันตอบแบบกำปั้นทุบดิน
" ก็ใช่นะ .. แต่ พี่แค่นึกเล่นๆ ว่า เผื่อจะเจอคู่แท้ที่นี่..น่ะ" แล้วเขาก็หัวเราะเสียงดัง
ปล่อยให้ฉันทำหน้าเหวอกับคำตอบของเขา


หลังจากนั้น ฉันก็เงียบมากกว่าเขา 
จนกระทั่ง ฉันรู้สึกง่วงนอนแล้ว.. ฉันจึงขอตัวกลับห้อง
แต่เขาก็ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่ดี เดินกลับมาส่งฉันที่ห้องพัก
ฉันไขกุญแจเข้าไปในห้อง แต่ในขณะที่ประตูกำลังจะถูกปิดลง เขาก็โผล่หน้าเข้ามา
"รินกำลังหนีใครอยู่หรือเปล่า ..?" เขากระซิบถาม
" หนีอะไรคะ เปล่านี่คะ .." 
"จริงเหรอ..." น้ำเสียงของเขาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ฉับตอบไป
"ค่ะ ..ขอบคุณนะ....." ก่อนจะสิ้นประโยคของฉัน ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมา
ฉันอยากจะต่อต้านเขาเหลือเกิน.. 
แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะอีกฝั่งหนึ่งของหัวใจก็ต้องการเขามากมาย



...


เช้าวันต่อมา ฉันเดินขึ้นไปบนเนินเขานั่นอีกครั้ง
ความรู้สึกของคืนวันปีใหม่หวนกลับมาอีกครั้ง
แต่จิตสำนึกก็รู้ดีว่า.. มันเป็นได้แค่เพียง ..คืนหนึ่งของความฝัน
มันเป็นได้แค่นั้น.. เท่านั้น..


ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินตามขึ้นมา
ฉันหันไปมองเขา.. สีหน้าเขาดูไม่แจ่มใสนัก แววตารู้สึกผิดฟ้องอยู่เต็มตาเขา
" เมื่อคืน.. พี่..เอ่อ.."
"พี่ไม่ต้องพูดอะไรหรอกค่ะ " ฉันยิ้มให้กับเขา
ก่อนจะหันหลังให้และเดินจาก
มาตลอดกาล...


 


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น