วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

สายลมที่ผ่านเลย

ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่า ทำไมใครต่อใครถึงได้หลงไหลสีสันของฤดูใบไม้ร่วง
สีส้มแสดและน้ำตาลแก่ของใบไม้ที่พร้อมจะปลิดปลิวจากต้น.. มันน่าดูตรงไหนกัน
ไม่เคยคิดกันบ้างเลยหรือว่า .. มันช่างเหมือนสีของตะวันยามเย็น ..ยามใกล้จะลาลับขอบฟ้า
บอกถึงการอำลาอันยาวนาน...
และยิ่งใบไม้ใบเดิมใบนั้นคงไม่ทางกลับมาเขียวสดเหมือนเดิมได้อีกแล้วด้วย
มันน่าดูตรงไหนกัน ..?



...

แต่ความจริง .. เหตุผลของคนชังฤดูใบไม้ร่วง
ไม่ใช่เพราะสีสันและวงจรของธรรมชาติเลยแม้แต่นิด




สาเหตุมาจาก.. "เขา"
คนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตฉัน เมื่อฤดูใบไม้ร่วง 3 ปีก่อน
ในยามเย็นของวันที่ท้องฟ้าสีหม่นมัว และต้นไม้สองข้างทางระหว่างทางกลับบ้านมีแต่สีส้มแดง


"แกร่กก ...แกร่ก..แกร่ก .." เสียงโซ่จักรยานของฉันทำพิษเสียแล้วสิ
ฉันจอดจักรยานและก้มลงมองอย่างหัวเสีย
นี่สองมือขาวสะอาดของฉันต้องมาเปื้อนน้ำมันที่โซ่จักรยานแล้วหรือไงนะ


แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็โผล่มา ..พร้อมกับรถกระบะคันโตของเขา
"เป็นอะไรครับ โซ่หลุดเหรอ" เขาตะโกนถามพลางเปิดประตูรถลงมา
"ค่ะ ..คงจะอย่างนั้น"


นั่นคือประโยคแรกระหว่างเรา
และหลังจากนั้น ความแปลกหน้าระหว่างเราก็เริ่มแปรเปลี่ยน
อาจเพราะการที่เขาแวะมาเยี่ยมเยียนบ้านของฉันอยู่เรื่อย ๆ..
พูดให้ถูก เขาก็แค่มาติดต่อธุรกิจกับพ่อ แต่บังเอิญเคยช่วยลูกสาวของท่าน


...

จากความเป็นเพื่อนตลอดปีนั้นจนถึงฤดูใบไม้ร่วงปีถัดมา
ฉันกับเขาซ้อนท้ายจักรยานไปด้วยกันบนถนนสายนั้น
แล้วจู่ ๆ โซ่เจ้ากรรมก็ทำพิษอีกจนได้


ในขณะที่เขากำลังก้ม ๆ เงย ๆ ต่อโซ่ให้ฉันอยู่
ลมต้นฤดูหนาวก็โหมมาวูบใหญ่ ทำให้ฉันซึ่งยืนมองอยู่ใกล้ๆ เซลงไปใส่ตัวเขา
เราทั้งคู่ลงไปกลิ้งคลุกฝุ่นริมถนน
ฉันรู้ตัวอีกทีก็เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นหน้าเขาอยู่ประชิดใกล้
แต่เหมือนใบไม้สีน้ำตาลใบเล็กจะปลิวมาติดที่ปลายจมูกของฉัน
และเมื่อเขาเอื้อมมือมาหยิบมันออก ฉันก็กรีดร้องโวยวาย
นั่นเพราะสองมือของเขาที่เปรอะน้ำมันจากโซ่จักรยาน
ตอนนี้มันมาแต้มอยู่ที่จมูกฉันเป็นอันเรียบร้อยแล้ว


และหลังจากนั้น สงครามคราบสกปรกก็เริ่มขึ้น
เพราะฉันปาดร่องรอยที่จมูกของตัวเองไปแปะที่แก้มของเขา
เขาก็เองก็ไม่น้อยหน้า ที่ใช้ทั้งสองมือประกบสองข้างแก้มของฉันไว้
และดึงฉันเข้าสู่ห้วงเสน่ห์หา ด้วยริมฝีปากของเขา
ในวินาทีนั้น ฉันเหมือนต้องมนต์สะกด ความคิดทุกอย่างกระจัดกระจาย
เหมือนรอบตัวเราเต็มไปด้วยหมอกขาวหนา .. ราวกับเราอยู่อีกโลกหนึ่งที่แตกต่างไป


ฉันไม่คิดว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของความรักของฉันหรอกนะ
หากมันคือ การยืนยันความรู้สึกให้แจ่มชัดขึ้นภายในหัวใจของฉัน และเขา..
ถ้าไม่เพราะว่า...



...

เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป และฤดูใบไม้ผลิโผล่มาทักทาย
หัวใจของฉันก็เต็มตื้นไปด้วยความอบอุ่นของความรัก
ฉันเริ่มวาดฝันอนาคตร่วมกับเขา


เราจะมีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นกระท่อมหลังน้อย
ฉันอยากจะทำสวนแอ๊บเปิ้ลเหมือนที่พ่อทำมา
อยากจะปลูกกุหลาบและจัสมินไว้ที่หน้าบ้าน
ฉันจะเลี้ยงแมว2ตัว ส่วนเขาอยากจะเลี้ยงโกลเด้นรีทรีฟเวอร์และเซนเบอร์นาร์ดอย่างละตัว
เขาไม่คิดว่ามันจะช่วยอะไรเราในเรื่องงานนัก แต่คงจะเป็นเพื่อนตัวอุ่นให้ฉันกอด
ระหว่างที่เขาอาจต้องเดินทางเข้าเมืองหรือไปต่างเมืองไกล ๆ ..


และในที่สุด ฉันก็เริ่มพบว่า ฝันเหล่านั้นเป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ
เมื่อเขาเริ่มทำตัวห่างออกไป ผิดนัดบ่อย ๆ ไม่ค่อยรับโทรศัพท์เหมือนเคย
พอฉันเอ่ยปากถาม เขาก็บอกปัดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


แต่มันต้องมีสิ.. ต้องมีอะไรแน่ ๆ

แล้วบ่ายของฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด
ในขณะที่เขาแหวกว่ายเล่นน้ำในทะเลสาปใกล้ ๆ กับบ้านของฉัน
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นจากกองเสื้อผ้าบนเก้าอี้อาบแดด
ฉันหยิบขึ้นดู .. มันเป็นหมายเลขที่ไม่มีชื่อ .. อาจเป็นลูกค้ารายอื่นของเขาก็ได้ ..ฉันคิด
แต่ในวูบหนึ่งของความคิดทำให้ฉันกดรับและแนบหูฟังเสียง


"ฮัลโหล .. ที่รัก ไหนคุณสัญญาว่าจะรีบกลับบ้านก่อนลูกเราจะกลับจากแคมป์ไงคะ
นี่อีกสองวันพวกเขาก็จะกลับมาแล้วนะคะ ฉันขี้เกียจแต่งเรื่องโกหกว่าพ่อเขางานยุ่งมากเหลือเกิน
เกินกว่าจะแสดงความเอาใจใส่และดูแลเขาเหมือนพ่อคนอื่น ๆ นะคะ"
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว  แต่นั่นไม่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวชาไปทั้งตัว
เท่ากับคำที่หล่อนเรียกเขาและพูดถึง ..ลูก


"สวัสดีค่ะ ฉันคิดว่าคุณคงโทรผิด นี่เบอร์ของ.." ฉันนึกอยากจะพูดความรู้สึกและ
เรียกร้องสิทธิที่ฉันคิดว่ามันเป็นของฉันออกไป
 ถ้าไม่เพราะฉันหันไปเห็นเขาที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาป
อย่างสนุกสนานกับน้องชายและน้องสาวของฉัน


" คุณว่าอะไรนะ?" หล่อนกรอกเสียงเกรี้ยวมาตามสาย
" เอ่อ ฉันขอโทษค่ะ คุณนาย คุณผู้ชายท่านนั้นลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้านของเราน่ะค่ะ
ฉันจะเก็บไว้ให้เขานะคะ ไม่ทราบว่าฉันจะขอเบอร์ติดต่ออื่นของเขาได้ไหมคะ"
" อ๋อ.. ค่ะ " และหลังจากหล่อนบอกตัวเลขอีกหลายต่อหลายตัว
แต่ฉันไม่คิดจะเขียนหรือจดจำมันเลยสักน้อยนิด สายตาจ้องมองไปยังทะเลสาป
เมื่อฉันวางหูโทรศัพท์ ม่านน้ำตาก็บดบังภาพตรงหน้าจนพร่าเลือนไปสิ้น..



...

ปีนี้ฤดูใบไม้ร่วงเนิ่นนานกว่าทุกปี
ฉันยังคงใช้จักรยานคันเก่า ปั่นมันผ่านถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ใบสีส้มแสด
โคนต้นเกลื่อนไปด้วยซากใบแห้งกรอบสีน้ำตาลและสีส้มที่เพิ่งปลิดปลิว


แกร่ก..แกร่ก...แกร่ก .. โซ่เจ้ากรรมเอาเรื่องฉันอีกแล้วล่ะสิ
ฉันจอดจักรยานข้างทางและทรุดตัวลงแก้ไขมันด้วยสองมือของฉันเอง


ฉันคงไม่อาจคาดหวังและรอให้เขากลับมาอยู่ตรงนี้เหมือนเคยได้อีกแล้ว
แต่ทำไมกันนะ..ทำไมหัวใจของฉันถึงรู้สึกเจ็บแปลบอย่างนี้.. ไม่เคยหยุด..ไม่เคยเลย..


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น